Share |

สาส์นพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16

 เราจงพิจารณาหาทางปลุกใจกันและกันให้มีความรัก และประกอบกิจการดี” (ฮบ. 10: 24)

พี่น้องที่รักทั้งหลาย

อีกครั้งหนึ่งที่เทศกาลมหาพรตเปิดโอกาสให้เราไตร่ตรองถึงจุดศูนย์กลางแห่งชีวิตคริสตชน ซึ่งได้แก่ความรักเมตตาเป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่งที่เราจะหันมาฟื้นฟูการเดินทางในความเชื่อของเรา ทั้งในฐานะที่เป็นปัจเจกชนและในฐานะที่เป็นชุมชนโดยอาศัยพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ  การเดินทางนี้เป็นการเดินทางที่ต้องมีการสวดภาวนาและการแบ่งปันกัน การรักษาความเงียบ และการจำศีลอย่างเป็นพิเศษ เพื่อเตรียมเฉลิมฉลองความชื่นชมยินดีแห่งปัสกา

ในปีนี้ข้าพเจ้าใคร่เสนอข้อคิดบางประการ จากข้อความสั้นๆของพระคัมภีร์ในจดหมายถึงชาวฮีบรู “เราจงพิจารณาหาทางปลุกใจกันและกันให้มีความรักและประกอบกิจการดี” คำพูดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อความที่ผู้นิพนธ์พระคัมภีร์เตือนใจเราให้วางใจในพระเยซูคริสตเจ้า มหาสมณะผู้ทรงบรรลุชัยชนะ ทำให้เราได้รับการอภัยบาปและทรงเปิดหนทางใหม่ให้เราเข้าสู่ พระเจ้าได้ การยอมรับนับถือพระคริสตเจ้าก่อให้เกิดผลในชีวิตที่ถูกหล่อหลอมด้วยฤทธิ์กุศล 3 ประการซึ่งพระเจ้าประทานให้ นี่หมายถึงการเข้าหาพระเจ้า“ด้วยจริงใจและเปี่ยมด้วยความเชื่อ”(ว. 22) ยืนหยัด“ในความหวังที่เราตั้งมั่น” (ว. 23) และเฝ้าระวังดำเนินชีวิตในชีวิตแห่ง “ความรักและการประกอบกิจการดี” (ว. 24) ด้วยกันกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเรา ผู้นิพนธ์พระคัมภีร์เน้นว่า

เพื่อธำรงชีวิตนี้ที่ได้รับการหล่อหลอมด้วยพระวรสาร เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องมีส่วนร่วมในจารีตพิธีกรรม และสวดภาวนาพร้อมกันเป็นหมู่คณะโดยรำลึกถึงเป้าหมายสุดท้ายของเราที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเจ้า (ว. 25) ตรงนี้ข้าพเจ้าใคร่ที่จะไตร่ตรองวรรคที่ 24 ซึ่งสอนไว้อย่างชัดเจน มีคุณค่า และเหมาะแก่กาลเวลา เกี่ยวกับ 3 มิติแห่งชีวิตคริสตชนด้วยกัน นั่นคือ ความห่วงใยในผู้อื่น การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และความศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัว

1.“เราจงพิจารณาหาทางปลุกใจกันและกัน”ซึ่งเป็นความรับผิดชอบต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงของเรามิติแรกนี้เป็นการเชิญชวนให้เรา “มีความกังวล” คำกริยาภาษากรีกที่ใช้ในที่นี้คือคำ katanoein หมายถึงการพิจารณาไตร่ตรอง การสนใจ การพิจารณาอย่างรอบคอบและการจุดประเด็นอะไรบางอย่างเราพบคำคำนี้ในพระวรสารตอนที่พระเยซูทรงเชิญศิษย์ของพระองค์ให้ “คิดถึง” นกกาที่ไม่ได้กังวลอะไร แต่ก็เป็นศูนย์กลางแห่งการเอาใจใส่แห่งพระญาณสอดส่องของพระเจ้า (เทียบ ลก. 12: 24) และให้สังเกตท่อนซุงในดวงตาของเรา ก่อนที่มองไปที่เศษฟางในตาของบรรดาพี่น้องของเรา (เทียบ ลก. 6: 41) อีกวรรคหนึ่งในจดหมายถึงชาวฮีบรู เราพบการสนับสนุนให้ “มีความคิดแน่วแน่ถึงองค์พระเยซูเจ้า” (3: 1) ผู้ทรงเป็นอัครสาวกและมหาสมณะแห่งความเชื่อของเรา

ดังนั้นคำกริยาที่ใช้เตือนใจเรา ชวนเราให้หันหน้าไปมองผู้อื่น ผู้แรกที่ต้องมองคือพระเยซู ให้เรากังวลซึ่งกันและกัน มิให้ซ่อนตัวอยู่ตามลำพังและเพิกเฉยต่อชะตากรรมแห่งบรรดาพี่น้องชายหญิงของเรา แต่บ่อยครั้งทัศนคติของเรากลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เย็นชาไม่สนใจใด ๆ เพราะเกิดจากการเห็นแก่ตัวและสวมหน้ากากทำทีว่าให้ความเคารพกับ “เรื่องส่วนตัว” สำหรับทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เสียงของพระเจ้าทรงเรียกร้องเราทุกคน ให้มีความห่วงใยซึ่งกันและกัน พระองค์ทรงขอร้องให้เราเป็น “ผู้พิทักษ์” พี่น้องชายหญิงของเรา(ปฐก. 4: 9)

ให้สร้างความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนฐานแห่งความเอื้ออาทรและความสนใจต่อกันและกันเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นการอยู่ดีแบบครบวงจรของผู้อื่นด้วย บัญญัติยิ่งใหญ่แห่งความรักซึ่งกัน และกันเรียกร้องให้เรารับผิดชอบ ให้เราต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งทุกคนเป็นสิ่งสร้างและเป็นบุตรของพระเจ้าเหมือนเรา เมื่อเป็นพี่เป็นน้องกันในความเป็นมนุษย์ และในบางกรณีก็เป็นพี่น้องกันในความเชื่อด้วย สิ่งนี้น่าจะช่วยเราให้ยอมรับในผู้อื่น ตัวฉันที่แท้จริงอีกคนหนึ่ง ซึ่งได้รับความรักอันไม่มีขอบเขตจากพระเจ้าหากเราพยายามสร้างการมองผู้อื่น

ในทำนองที่พวกเขาล้วนเป็นพี่เป็นน้องของเรา ความเอื้ออาทร ความยุติธรรม และความเมตตากรุณาก็จะเกิดขึ้นอย่างง่ายดายในดวงใจของเรา สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 กล่าวยืนยันว่าโลกของเราทุกวันนี้ต้องทนทุกข์มากมาย ก็เพราะขาดความ เป็นพี่น้องกัน “สังคมมนุษย์กำลังป่วยหนักต้นเหตุไม่ใช่เพราะขาดทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพราะ การควบคุมจากอภิสิทธิ์ชนไม่กี่คน แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอ่อนแอลงทั้งระหว่างปัจเจกชนและระหว่างชาติ” (ความก้าวหน้าของประชาชาติ 66)

ความกังวลต่อผู้อื่นรวมถึงความปรารถนาสิ่งดีๆสำหรับพวกเขาในทุกมิติไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกาย ฝ่ายศีลธรรมหรือฝ่ายจิต วัฒนธรรมร่วมสมัยดูเหมือนจะขาดจิตสำนึกเรื่องความดีความชั่วแต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเน้นว่า ความดีนั้นมีอยู่และความดีจะต้องชนะความชั่ว เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็น “ผู้ที่มีน้ำพระทัยกว้างและกระทำการด้วยน้ำพระทัยกว้าง” (สดด. 119: 68) ความดีคือทุกอย่างที่ให้ ปกป้องและส่งเสริมชีวิต ความเป็นพี่น้องกันและความเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นการรับผิดชอบต่อผู้อื่นจึงหมายถึงปรารถนาและกระทำเพื่อความดีของผู้อื่นโดยหวังว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ยอมรับคุณงามความดีและการเรียกร้องที่ทุกคนต้องทำความดี 

ความกังวลต่อผู้อื่นหมายถึงการตระหนักถึงความต้องการของพวกเขา พระคัมภีร์เตือนเราให้ระวังอันตรายมิให้ปล่อยให้หัวใจของเราเย็นชาจากอะไรที่เราเรียกกันว่า “ความเย็นชาฝ่ายจิต” ซึ่งทำให้เราขาดความรู้สึกต่อความทุกข์ของผู้อื่น นักบุญลูกาเล่านิทานเปรียบเทียบสองเรื่องของพระเยซูเจ้าด้วยการยกตัวอย่าง ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องชาวสะมาเรียสงฆ์และคนเก็บภาษี “เดินผ่านไป” (เทียบ ลก. 10: 30-32) ในเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส เศรษฐีคนนั้นไม่สนใจความยากจนของลาซารัส ซึ่งกำลังหิวโหยเกือบตาย อยู่ที่หน้าประตูบ้านของเศรษฐี (เทียบ ลก. 16: 19) นิทานเปรียบทั้งสองเรื่องแสดงให้เราเห็นตัวอย่างของความตรงกันข้ามระหว่าง “ความเป็นกังวล”ในการมองผู้อื่นด้วยความรักและความเมตตาสงสารอะไรคืออุปสรรคของความเป็นมนุษย์

และการมองด้วยความรักไปยังบรรดาพี่น้องชายหญิงของเราบ่อยครั้งเป็นเพราะการเป็นเจ้าของความมั่งมีฝ่ายวัตถุและจิตสำนึกแห่งความพอเพียง แต่มันก็อาจเป็นเพราะความโน้มเอียงที่จะถือประโยชน์ส่วนตนและปัญหาของตนมาก่อนสิ่งใดด้วย  เราไม่ควรที่จะเป็นคนที่ขาด ความสามารถในการ “แสดงความเมตตา” ต่อผู้ที่กำลังทุกข์ทรมาน ไม่ควรที่จะเก็บใจของเรา ไว้ในเรื่องราวและปัญหาของเรา จนกระทั่งใจของเราไม่สามารถที่จะได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญ   ของคนยากไร้ ความสุภาพของใจและประสบการณ์ส่วนตัวในความทุกข์สามารถปลุกจิตสำนึก แห่งความเมตตาและการเห็นอกเห็นใจในตัวเราให้ตื่นขึ้นได้ “ผู้ที่ชอบธรรมย่อมจะเข้าใจได้ดีถึง ต้นเหตุของผู้อ่อนแอ ซึ่งคนชั่วไม่อาจที่จะเข้าใจได้” (สภษ. 29: 7) เราเข้าใจดีถึงบุญลาภของ “ผู้ที่เป็นทุกข์เศร้าโศก” (มธ. 5: 5)

เราเข้าใจดีผู้ที่สามารถมองข้ามตนเองและรู้สึกสงสารความทุกข์ยากของผู้อื่น การเข้าไปหาผู้อื่นแล้วเปิดใจให้กับความต้องการของพวกเขา สามารถเป็นโอกาสสำหรับความรอดและการที่จะได้รับพระพรจากพระเจ้า “ความห่วงใยต่อกันและกัน” ยังหมายถึงการห่วงใยต่อความดีฝ่ายจิตของเขาด้วย ตรงนี้ข้าพเจ้าใคร่ที่จะพูดถึงมิติแห่งชีวิตคริสตชน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่า มันค่อนข้างที่จะถูกลืมไป นั่นคือ การแก้ไขความบกพร่องของกันและกันฉันพี่น้องเพื่อเห็นแก่ความรอดนิรันดร  ในทุกวันนี้โดยทั่วไปแล้วเรามีความรู้สึกไวต่อความคิดในเรื่องของความรักเมตตาและการเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่นในด้านวัตถุ แต่แทบจะไม่มีการพูดถึงเลยเกี่ยวกับความรับผิดชอบด้านจิตใจต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงของเรา มันไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย สำหรับพระศาสนจักรยุคต้นๆ  ตามชุมชนต่าง ๆ

ที่มีวุฒิภาวะในความเชื่อ พวกเขามีความกังวลไม่ใช่แต่สุขภาพฝ่ายกายของบรรดาพี่น้องชายหญิง เท่านั้น แต่รวมไปถึงสุขภาพฝ่ายจิตและความรอดนิรันดรด้วย พระคัมภีร์สอนเราว่า “จงตำหนิคนฉลาดแล้วเขาจะชอบที่ถูกตำหนิ  จงเปิดใจกับคนฉลาด เขาจะฉลาดมากขึ้น จงสอนผู้ชอบธรรม เขาจะมีความชอบธรรมเพิ่มขึ้น” (สภษ. 9: 8..) พระคริสตเจ้าเองทรงสั่งให้เราเตือนพี่น้องที่ทำบาป (เทียบ มธ. 18: 15) คำกริยาที่ใช้เพื่อแสดงการตักเตือนกันฉันพี่น้องคือ elenchein เป็นคำเดียวกันที่ใช้เพื่อแสดงถึงพันธกิจ

ในการประกาศพระวรสารของคริสตชนที่จะต้องพูดต่อต้านชนชาติที่หมกมุ่นอยู่แต่ในความชั่ว (เทียบ อฟ. 5: 11) ธรรมประเพณีปฏิบัติของพระศาสนจักรรวม “การตักเตือนคนบาป”ไว้ในงานเมตตาธรรมด้วย  เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องรื้อฟื้นมิตินี้  สำหรับงานเมตตาธรรมของคริสตชน  เราต้องไม่เงียบเฉยต่อความชั่ว ข้าพเจ้ากำลังนึกถึงคริสตชนเหล่านั้น ผู้ที่มัวแต่เกรงใจผู้อื่นหรือเพื่อที่ตนจะไม่ต้องยุ่งยาก เลยปรับตัวเองให้กับความคิดเห็น ของคนส่วนใหญ่ในขณะนี้  แทนที่จะตักเตือนพี่น้องให้เลิกคิดและเลิกการกระทำที่ขัดแย้งกับความจริง รวมถึงการที่พวกเขาไม่เดินอยู่บนหนทางแห่งความดี

สำหรับการตักเตือนแบบคริสตชนนั้นจะต้องไม่ถูกผลักดันด้วยจิตตารมณ์แห่งการกล่าวหาหรือกล่าวโทษ  มันจะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยความรักความเมตตาและเกิดจากความห่วงใยอย่างจริงใจเพื่อเห็นแก่ความดีของผู้อื่น ดังที่นักบุญเปาโล กล่าวว่า “ถ้าท่านพบว่าใครคนหนึ่งทำผิด ท่านซึ่งมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ จงตักเตือนแก้ไขเขาด้วยความอ่อนโยน จงระวังตัว ท่านอาจถูกทดลองด้วย” (กท. 6: 1) ในโลกที่เต็มไปด้วยการเห็นแก่ตัวจำเป็นที่เราจะต้องค้นให้พบว่าการตักเตือนแก้ไขกันและกันฉันพี่น้องนั้นมีความสำคัญยิ่ง เพื่อที่เราจะได้เดินไปในเส้นทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน พระคัมภีร์บอกเราว่าแม้ “คนชอบธรรมยังทำผิด 7 ครั้ง” (สภษ. 24: 16) เรามีความอ่อนแอและขาดความครบครันด้วยกันทุกคน (เทียบ 1 ยน. 1: 8)

ดังนั้นมันจึงเป็นการรับใช้ที่ยิ่งใหญ่ในการช่วยเหลือผู้อื่นและยอมให้ผู้อื่นช่วยเหลือเรา เพื่อที่เราจะได้ทราบความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเรา แก้ไขชีวิตของเรา และเดินไปอย่างถูกต้องในหนทางของพระเจ้า การมองของเรานั้นจำเป็นเสมอที่ต้องเป็นการมองที่มีความรักพร้อมกับการตักเตือน ซึ่งต้องมีทั้ง รู้และมีความเข้าใจต้องแยกแยะและมีการให้อภัย (เทียบ ลก. 22: 61) เฉกเช่นที่พระเจ้าทรงกระทำและ จะทรงกระทำต่อไปสำหรับเราแต่ละคน

2.“ความกังวลต่อกันและกัน”พระพรแห่งการตอบแทนซึ่งกันและกันการใส่ใจต่อผู้อื่นอยู่ตรงกันข้ามกันกับจิตตารมณ์ซึ่งอาศัยการดำเนินชีวิตติดกับมิติโลกอย่างสิ้นเชิง ซึ่งไม่สามารถมองเห็นมิติเหนือธรรมชาติและไม่ยอมรับการเลือกคุณธรรมที่อ้างว่าทำไป  ในนามของเสรีภาพส่วนบุคคล  สังคมของเราอาจกลายเป็นสังคมของคนตาบอดต่อความทุกข์ฝ่ายกายและต่อการเรียกร้องเชิงจิตและจริยธรรมแห่งชีวิต  สิ่งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นในชุมชนคริสตชน นักบุญเปาโลเตือนเราให้ “พยายามทำกิจการที่นำไปสู่สันติ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่กันและกัน”  (รม. 14: 19) เพื่อความดีของเพื่อนบ้าน “เพื่อที่เราจะได้สนับสนุนกันและกัน” (15: 2) ไม่หาผลประโยชน์ส่วนตัว “แต่เห็นแก่ประโยชน์ของทุกคน เพื่อเขาจะได้รับการรอดพ้น” (1 คร. 10: 33) การตักเตือนกันและการให้กำลังใจกันในจิตตารมณ์แห่งความสุภาพและความรัก จะต้องเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิตชุมชนคริสตชน ศิษย์ของพระคริสตเจ้าที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์โดยอาศัยศีลมหาสนิท ดำเนินชีวิตในความเป็นมิตรไมตรีจิต ซึ่งผูกมัดพวกเขาไว้ด้วยกัน

ในฐานะที่เป็นอวัยวะแห่งกายเดียวกัน นี่หมายความว่าคนอื่นเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า ซึ่งหมายความว่า ชีวิตของเขาและความรอดของเขาเกี่ยวพันกับชีวิตและความรอดของข้าพเจ้าเองด้วย  ตรงนี้เรากำลังสัมผัสกับมิติลึกล้ำแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน การมีชีวิตอยู่ของเรามีความสัมพันธ์กันกับผู้อื่น ไม่ว่าจะในทางดีหรือ ทางร้ายทั้งบาปและการกระทำแห่งความรักของเรามีความสำคัญในเชิงสังคม การตอบสนองต่อกันและกันนี้เห็นได้ในพระศาสนจักร ซึ่งเป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า ชุมชนคริสตชนมีการทำการใช้โทษบาปอย่างสม่ำเสมอ และทูลวิงวอนขออภัยโทษสำหรับบาปของบรรดาสมาชิก แต่ก็แสดงความชื่นชมยินดีในแบบฉบับแห่งฤทธิ์กุศลและความรัก ที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางพระศาสนจักรด้วย ดังที่นักบุญเปาโลกกล่าวไว้ว่า “อวัยวะทุกส่วนจะเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน” (1 คร. 12: 25)

เพราะเรากอปรเป็นกายเดียวกัน การประกอบเมตตากิจต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงของเรา อย่างที่แสดงออกด้วยการให้ทานอันเป็นการปฏิบัติที่พร้อมกันกับการสวดภาวนาและการจำศีล คือวิถีที่นิยมปฏิบัติกันในช่วงเทศกาล มหาพรต มีพื้นฐานอยู่ในการที่เราต่างเป็นของกันและกัน นอกนั้นคริสตชนยังสามารถแสดงความเป็นสมาชิกของตนในกายเดียวกันซึ่งได้แก่พระศาสนจักรโดยอาศัยการเป็นห่วงเป็นใยอย่างเป็นรูปธรรมต่อคนที่ยากจนข้นแค้นด้วย เช่นเดียวกันการห่วงใยซึ่งกันและกันหมายถึงการยอมรับความดีที่พระเจ้ากำลังกระทำในตัวผู้อื่นและด้วยการโมทนาคุณพระองค์สำหรับอัศจรรย์แห่งพระหรรษทาน ที่พระเจ้า ในความดีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ประทานให้อย่างสม่ำเสมอสำหรับบรรดาลูกของพระองค์ เมื่อคริสตชนเห็นว่าพระจิตเจ้ากำลังกระทำการในผู้อื่น พวกเขาไม่สามารถที่จะเป็นอื่นได้ นอกจากชื่นชมยินดีและถวายพระสิริมงคลแด่พระบิดาเจ้าสวรรค์ (เทียบ มธ. 5: 16)

3. “ปลุกใจกันและกันให้มีความรักและประกอบกิจการดี” เดินทางไปด้วยกันในความศักดิ์สิทธิ์คำพูดเหล่านี้ในจดหมายถึงชาวฮีบรู (10: 24) เร่งเร้าให้เราไตร่ตรองถึงการเรียกร้องให้ไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการเดินทางอย่างสม่ำเสมอแห่งชีวิตจิต ในขณะที่เราแสวงหาพระพรฝ่ายจิตที่สูงส่งรวมถึงในการแสวงหาความรักที่เลิศล้ำและบังเกิดผลเพิ่มขึ้นด้วย (เทียบ 1 คร.12:31- 13:13) ความห่วงใยซึ่งกันและกันควรปลุกเราให้มีความรักที่บังเกิดผลมากขึ้น ซึ่ง “ดุจแสงในยามรุ่งอรุณ ความสว่างของมันจะถึงขั้นสมบูรณ์เต็มที่ในเวลากลางวัน” (สภษ. 4:18) ความรักดังกล่าวจะทำให้ เราดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ดุจเป็นการลิ้มรสล่วงหน้าแห่งวันนิรันดรในพระเจ้าที่กำลังรอเราอยู่

เวลาที่ประทานมาให้เราในโลกนี้นั้นมีค่าล้ำเลิศ เพื่อให้เราไตร่ตรองกระทำกิจการดีด้วยความรัก ต่อพระเจ้า ด้วยวิธีนี้พระศาสนจักรเองก็จะก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สู่การมีวุฒิภาวะอย่างสมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า (เทียบ อฟ. 4 :13) คำเตือนที่สนับสนุนให้เราแต่ละคนพยายามบรรลุความบริบูรณ์แห่งความรักและกระทำกิจการดี มีพื้นฐานอยู่บนมิติอันทรงพลังแห่งการเจริญเติบโตเป็นที่น่าเสียดายว่า ยังมีการประจญล่อลวงอยู่เสมอที่ทำให้เราเป็นคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวเมินพระจิตเจ้าไม่ยอมใช้สติปัญญาที่เราได้รับเพื่อความดีของตัวเราเองและเพื่อความดีของผู้อื่น (เทียบมธ.25:25...) เราทุกคนได้รับความมั่งคั่งทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายกายที่เราได้รับมา

เพื่อนำไปใช้ในการทำให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงไป เพื่อความดีของพระศาสนจักร และเพื่อความรอดของเราเป็นการส่วนตัว (เทียบ ลก.12:21; 1ทธ.6:18) ผู้นำจิตวิญญาณเตือนเราว่าในชีวิตแห่ง ความเชื่อผู้ที่ไม่ก้าวหน้าก็จะถอยหลัง  พี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้เราจงรับคำเชื้อเชิญ โดยเฉพาะ ณ บัดนี้ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะตั้ง “มาตรฐานให้สูงยิ่งขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน  แบบคริสตชน” (เริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ 31) ปรีชาญาณของพระศาสนจักรในการยอมรับและประกาศ คริสตชนบางท่านที่มีชีวิตโดดเด่นเป็นบุญราศีหรือนักบุญนั้นยังมีจุดประสงค์ที่จะจูงใจผู้อื่นให้เอาแบบฉบับฤทธิ์กุศลของท่านเหล่านั้นด้วย นักบุญเปาโลเตือนเรา “ให้คิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน” (รม. 12: 10)

ในโลกที่เรียกร้องคริสตนให้ฟื้นฟูการเป็นประจักษ์พยานแห่งความรักและความซื่อสัตย์ ต่อพระเจ้า ขอให้เราทุกคนรู้สึกว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรักซึ่งกันและกัน รับใช้กัน และกระทำกิจการดี (เทียบ ฮบ. 6: 10) การเรียกร้องนี้มีความสำคัญมากเป็นพิเศษในเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ ที่กำลังจะมาถึงในการเตรียมตัวเพื่อต้อนรับการเฉลิมฉลองปัสกา 

ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี และคำภาวนามายังท่านทั้งหลายในช่วงเทศกาลมหาพรต
และขอมอบทุกท่านไว้ในคำวิงวอนของ  พระแม่มารีพรหมจารี  ขออวยพรมายังท่านทุกคน

จากวาติกัน 3 พฤศจิกายน 2011
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16